เมื่อพฤษภาคม และมิถุนายน พ.ศ. 2560 การโจมตีทางไซเบอร์ Petya และ WannaCry ส่งผลกระทบต่อบริษัทเป็นวงกว้าง โดยรายงานจาก Lloyd’s of London กล่าวว่า Cyber – attack นั้นสามารถสร้างความเสียหายเท่ากับภัยบัติทางธรรมชาติเลยทีเดียว
Petrya และ WannaCry เป็นหนึ่งในวิธีโจมตีทางไซเบอร์องค์กรให้เสียหายได้มหาศาล หากประเมินเป็นตัวเลขแล้วกว่า 6 พันล้านปอนด์
ยกตัวอย่าง บริษัท Neurofen manufacturers, Reckitt Benckiser สูญเสียเงินเป็นจำนวน 100 ล้านปอนด์ จากการโดนโจมตีทางไซเบอร์ บางบริษัทอย่าง Cadbury และ Oreo ก็เช่นเดียวกัน
ดังนั้น Cyber – attack จะเข้าไปเจาะข้อมูลซึ่งเป็นทรัพย์สินที่สำคัญเป็นอันดับแรก ๆ และสร้างความเสียหายให้กับองค์กรอย่างมาก โดยบทความนี้จะมาเสนอ หลักการทำงานของ Malware ทั้ง 2 ชนิดนี้ และวิธีการป้องกัน
การทำงานของ WannaCry and Petya

Petya และ WannaCry เป็นมัลแวร์เรียกค่าไถ่ หรือที่เรียกกันว่า Ransonware ด้วยการ
- เข้าไปยืดคอมพิวเตอร์
- ล็อคคอมพิวเตอร์ไม่ให้ใช้งาน
ผู้เชี่ยวชาญด้าน Cyber Security บางคนไม่เชื่อว่า Petya จะสามารถเรียกค่าไถ่ได้เพราะ มันยากที่จะจ่ายเงินให้กับ Hacker ได้ Ransomware จะโจมตี และเรียกค่าไถ่ได้ง่าย ๆ
แต่ยังงัยก็ตามมันถูกออกแบบให้สร้างความเสียหายแก่ระบบมากกว่าเรียกเงินจากผู้บริหารองค์กรอยู่แล้ว บางเหตุการณ์ก็ถูกทำให้เหมือนว่ามีการเรียกค่าไถ่เกิดขึ้น เพื่อให้รัฐบาลอัดฉีดงบประมาณ หรือให้เงินสนับสนุน
Malwareทั้ง 2 ชนิดนี้จะใช้ช่องโหว่ของระบบปฎิบัติการ Microsoft พวก windows XP และ windows 2003
ซึ่งระบบเดิมไม่ค่อยมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงด้านการรักษาความปลอดภัยซักเท่าไหร่ ปัญหาในรูปแบบของแพทช์ที่ช่วยให้ป้องกันการโจมตีที่อพเดทให้ช้าเกินไป พวก Hacker ก็มักจะใช้ประโยชน์จากข้อบกพร่องเหล่านี้
กันไว้ดีกว่าแก้

Malware ชนิดนี้มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการทั้ง 2 อย่างเป็นตัวชี้วัด อัพเดทระบบปฎิบัติการเดิมเป็นประจำสม่ำเสมอเพื่มป้องภัยคุกคามใหม่ ๆ
และที่สำคัญควรจะให้ความรู้กับผู้ใช้งานในการป้องกันการแพร่กระจายมัลแวร์ชนิดต่าง ๆ ที่ชัดเจน พนักงานทุกคนควรรู้วิธีดู Email ที่มีความเสี่ยง การเรียกค่าไถ่ทางไซเบอร์โดยปกติผู้ใช้มักจะคลิกลิ้ง อีเมล หรือไฟล์แนบที่ไม่พึงประสงค์
มันเป็นไปได้ยากที่จะ Back -up ข้อมูลในต้องช่วงที่ถูกโจมตีได้ตลอดเวลา ซึ่งการป้องกันตัวเอง โดยใช้เครื่องมือ Cyber Security ช่วยทำงานแทนอย่างเป็นลำดับขั้นตอน ดังนี้
- ซอฟแวร์ Anti – Virus ซึ่งที่สามารถอัพเดทได้อยู่ตลอด ๆ แนะนำให้เป็นซอฟแวร์บน Cloud จะเป็นตัวเลือกที่ดี
- ซอฟแวร์ Anti – Spam ที่สามารถฟิลเตอร์ หรือบล็อกเมลขยะ ที่เคยมีความเสี่ยง
- Firewalls ที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงเครือข่ายโดยที่ไม่ได้รับอนุญาติ
- อัพเดทแพทช์ให้เป็นปัจจุบันอยู่ตลอด
- ติดตั้งระบบโดเมนไว้ป้องกันทุกอุปกรณ์ เช่นโทรศัพท์ แท็บเล็ต จากอันตรายทางไซเบอร์
- เลือกแอพพลิเคชั้นที่สามารถจัดการกับภัยคุกคามครบวงจร
หากผู้ใช้งานมีหลาย Account ไม่ควรใช้ Password เดียวกันเพราะ ถ้า Hacker รู้รหัสแล้วจะสามารถเข้าถึงบัญชี อื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย
หา Solution ที่ช่วยลบบัญชีเก่า ๆ จะทำให้ระบบปลอดภัยมากขึ้น จำกัดการเข้าถึงเครือข่ายของผู้ใช้งานก็จะช่วยได้เช่นเดียวกัน
ไม่มีใครล่วงรู้ได้หลอกว่าจะโดน Hack เมื่อไหร่ ดังนั้นเป็นเรื่องที่เร่งด่วนในการทำทุกขั้นตอนที่กล่าวมาให้เร็วที่สุด เพราะฉะนั้นกันไว้ดีกว่าแก้
ไม่ว่าบริษัทใหญ่ หรือเล็กก็ต้องป้องกันตัวเองจากภัยคุกคามต่าง ๆ ซึ่งในรายงานของ the Federation of Small Businesses พบว่ามีภัยคุกคามทางไซเบอร์กว่า 19,000 ครั้งก่อกวนบริษัทกิจขนาดเล็กในอังกฤษทุกวัน ในปัจจุบันนี้มีการโจมตีไซเบอร์เพิ่มเป้นทวีคุณ และ Automate มากขึ้นนั้นเอง